Saturday, March 8, 2008

รู้จักนกแอ่น


ก่อนอื่นเรามารู้จักนกแอ่นกันเสียก่อนน่าจะเป็นการดีที่สุด เดิมเรียกกันอย่างกว้างขวางว่านกอีแอ่น ซึ่งรวมเอานกสองกลุ่มที่แตกต่างกันอย่างมากเข้าไว้ด้วยกัน ก็คือ swift และ swiftlet กับนกอีแอ่นประเภท swallow และ martin ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกและท่าทางในการบินคล้ายกัน ข้อแตกต่างที่สำคัญบางประการ เช่น นกประเภทแรกมีตีนที่กำไม่ได้ จึงไม่อาจเกาะกิ่งไม้หรือสายไฟได้ดังนกประเภทหลัง มันจะใช้ตีนเกี่ยวไว้ได้เท่านั้น และนกประเภทแรกยังมีปีกรูปทรงยาวเรียว ดูคล้ายกับเคียวเกี่ยวข้าว ต่อมาคนไทยในยุคสมัยหนึ่งเกิดความรังเกียจคำว่า "อี" ขึ้นมา โดยหาว่าเป็นคำไม่สุภาพ ทำให้สัตว์นานาชนิดที่คำว่า "อี" นำหน้าต้องถูกถอดออกหรือเปลี่ยนเป็น "นาง" ที่ฟังดูสุภาพกว่า ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้กลายเป็นนกแอ่น (swift และ swiftlet) กับนกนางแอ่น (swallow และ martin) ในปัจจุบัน

นกนางแอ่นกินรังเดิมจัดอยู่ในสกุล Collocalia และต่อมาเปลี่ยนเป็นสกุล Aerodramus เนื่องจากมีความสามารถในการเปล่งคลื่นเสียงออกมาใช้ในการบินในถ้ำได้ มีอยู่ด้วยกัน 26 ชนิด มีการกระจายตั้งแต่เกาะในด้านทิศตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย ทั่วทั้งบริเวณตอนใต้ของทวีปเอเซียถึงประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มเกาะอินโด-ออสเตรเลีย จนถึงประเทศออสเตรเลียตอนเหนือและหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตกและหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดลำตัวยาวประมาณ 7.5-13 เซนติเมตร มีปีกยาว 110-118 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 8-9.5 กรัม ขนลำตัวมักมีสีน้ำตาลคล้ำด้านๆ จนถึงสีดำเป็นมัน ปีกยาวปลายแหลม เหมาะแก่การหากินในอากาศ หางสั้นปลายตัดหรือแยกเป็นสองแฉก ออกหากินตามปรกติในเวลากลางวัน มีสายตาที่เฉียบคมแลเห็นได้ดีในช่วงเวลาแสงสลัวๆ นกนางแอ่นกินรังอินเดียมีรายงานว่าหากินในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงไฟฟ้าตามบ้านเรือนและตามถนน ก่อนรุ่งสางฝูงนกจะเริ่มรวมกลุ่มบินวนเวียนอยู่บริเวณปากถ้ำ ก่อนบินเรียงตามกันเป็นทิวยาวออกหากินตลอดทั้งวัน ทั่วไปเป็นบริเวณกว้างขวาง มักหากินอยู่ตามลำพังตัวเดียว ตอนเช้าจะบินหากินไปเหนือระดับยอดไม้ของป่าดงดิบ ยามเที่ยงถึงบ่ายที่แสงอาทิตย์แรงกล้าขึ้นทุกทีๆ มันจะอาศัยมวลอากาศร้อนที่เกิดขึ้นบินวนสูงหายลับไปจากสายตา พอถึงตอนบ่ายอ่อนๆ นกจะบินกลับลงมาจากอากาศเบื้องบนมุ่งไปยังแหล่งน้ำขนาดใหญ่ อาจจะเป็น แม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ หรือแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมันจะบินเลียดต่ำลงเฉี่ยวกินน้ำหรืออาบน้ำด้วยท่วงท่าบินร่อนที่สวยงาม ปีกทั้งสองชูขึ้นเหนือแผ่นหลังพร้อมบิดหัวลงต่ำแล้วอ้าปากกว้าง ให้หยดน้ำเข้าสู่ปาก หลังจากนั้นจะมาบินรวมฝูงกันบริเวณปากถ้ำตอนพลบค่ำ ก่อนที่จะบินกลับเข้าถ้ำด้วยอาหารเต็มกระเพราะ มุ่งผ่านความมืดมิดเข้าสู่บริเวณรังหรือจุดเกาะพักนอนเพื่อพักผ่อนยามราตรีก่อนจะเริ่มออกหากินอีกครั้งในตอนย่ำรุ่งของวันต่อไป

อาหารหลักของนกแอ่นกินรัง ได้แก่ พวกมดมีปีกและแมลงเม่า คิดเป็น 99% ของปริมาณอาหารทั้งหมด นอกนั้นเป็นพวกแมลงขนาดเล็กๆ เช่น แตนเปียนฝอย แตนไทร เพลี้ย และแมลงวัน มันจะปั้นอาหารในกระเพราะเป็นก้อนกลมๆ แต่ละก้อนมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย 0.57 กรัม มีแมลงอยู่โดยเฉลี่ยราว 500 ตัว โดยทั่วไปมีจำนวนแมลงตั้งแต่ 100 ตัว - มากกว่า 1,200 ตัว ได้มีการคาดคะเนไว้ว่านกแอ่นกินรัง จำนวนประมาณ 4,500,000 ตัว ในถ้ำแห่งหนึ่งในเกาะบอร์เนียว กินแมลงได้วันหนึ่งๆ ประมาณ 5,000 กิโลกรัม ประกอบตัวแมลงประมาณ 100,000,000 ตัว ด้วยปริมาณแมลงจำนวนมหาศาลเช่นนี้ทำให้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรอบมากทีเดียว

นกแอ่นกินรังทำรังอยู่ร่วมกันในถ้ำเป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งในถ้ำริมทะเลและถ้ำตามเทือกเขาหินปูน บางครั้งที่ตั้งของรังอยู่ลึกจากปากถ้ำมากกว่า 400 เมตร นอกจากนี้ ยังทำรังในอาคารบ้านเรือนบางหลัง และในวัดอีกด้วย รังนกจะทำบนผนังถ้ำที่เอนเข้าด้านใน ส่วนใหญ่รังนกติดอยู่กับผนังผิวเรียบที่มีลักษณะเว้าและมีแนวสันเล็กๆ พาดผ่านหลายสัน การทำรังวางไข่ของนกแอ่นกินรัง มีกิจกรรมการวางไข่ สูงสุดเป็นสองระยะ ระยะแรกในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ระยะที่สองในเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน แตกต่างกันไปในระหว่างนกแอ่นกินรังในด้านทะเลอันดามัน กับนกแอ่นกินรังในด้านอ่าวไทย ขึ้นอยู่กับการการเริ่มต้นของฤดูมรสุม การสร้างรังใช้เวลานานหนึ่งเดือน เริ่มกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก วางไข่เพียง 2 ฟอง แต่ละฟองทิ้งระยะเวลาห่างกันประมาณ 3 วัน ระยะฟักไข่นาน 20-26 วัน ระยะเติบโตในรังนาน 37-49 วัน

นกที่ทำรังในถ้ำที่มืดสนิท เวลาบินมีการส่งเสียงดังคลิ๊กๆ เป็นระยะ เป็นระบบใช้คลื่นเสียงสะท้อนเหมือนกับพวกค้างคาวใช้ในการจับเหยื่อ แต่นกแอ่นกินรังใช้คลื่นเสียงสะท้อนเพื่อหลบหลีกอุปสรรคในถ้ำ โดยเปล่งเสียงออกไปและรับเสียงสะท้อนกลับมาสู่หูเพื่อวิเคราะห์เส้นทางที่จะบินผ่าน นอกจากนี้ยังทำให้นกบินออก และกลับสู่ถ้ำได้ในเวลาค่ำ จึงมีเวลาบินออกไปหากินไกลจากถ้ำได้มากกว่านกชนิดอื่นที่ต้องกลับที่พักนอนในช่วงเวลาที่มีแสงสว่างเท่านั้น

คลื่นเสียงนี้แตกต่างจากคลื่นเสียงของค้างคาวที่มีความถี่สูงเกินที่มนุษย์จะได้ยินได้ คลื่นเสียงของนกแอ่นกินรังช่วงคลื่นที่ได้ยินได้ดังเป็นเสียงคลิ๊กๆ ถี่เป็นชุดๆ มีความถี่ตั้งแต่ 1-2 กิโลเฮิรตซ์ ถึง 7-16 กิโลเฮิรตซ์ เวลาบินในถ้ำนกจะส่งเสียงต่อเนื่องกันไปในอัตรา 3-20 คลิ๊กต่อวินาที อัตราจะถี่สูงขึ้นตอนจะลงเกาะ หรือมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า เชื่อว่านกทำเสียงโดยใช้ลิ้นเหมือนพวกค้างคาวบัว(Rousettus spp.) หรือทำเสียงดังโดยใช้บางส่วนของหลอดเสียงก็เป็นได้ แต่จะทำได้ในขณะที่นกอ้าปากเท่านั้น

รังนกที่ใช้ปรุงเป็นอาหารหรือยาบำรุงร่างกายทำด้วยน้ำลาย ซึ่งเป็นสารเมือกเหนียวสร้างมาจากต่อมใต้ลิ้นคู่หนึ่ง ไม่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร ต่อมคู่นี้มีขนาดพองตัวขึ้นอย่างมากในฤดูทำรัง เมื่อแห้งแล้วสารนี้ละลายได้ยากในน้ำหรือแม้แต่ในกรดหรือด่างอ่อนๆ เป็นการปรับตัวให้สามารถในการทำรังเชื่อมติดอยู่กับผนังถ้ำในสภาพชื้นโดยตลอดของถ้ำได้ดี เป็นสารประเภท mucoprotein มีองค์ประกอบดังนี้ น้ำ 9% โปรตีน 32.3% คาร์โบไฮเดรด 38.7% และพวกเถ้าอนินทรีย์ 20% ในกลุ่มของโปรตีนยังมีกรดอะมิโนจำนวน 17 ชนิด ในปริมาณต่างๆกัน อีกทั้งยังมีแร่ธาตุ เช่น กำมะถัน และฟอสฟอรัส อีกในปริมาณเล็กน้อย

ในปัจจุบันรังนกจัดเป็นสินค้าที่มีราคาสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ รังนกชั้นหนึ่งเกรด เอ มีราคากิโลกรัมละประมาณ 60,000 บาท แต่การจัดเก็บรังนกมีการให้สัมปทานแก่เอกชนเป็นรายๆในแต่ละพื้นที่ อันเป็นการที่รัฐอนุญาตให้เอกชนจัดทำผลประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภายในระยะเวลาและตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด ได้แก่ บริเวณเกาะในเขตจังหวัดตราด ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สตูล ตรัง ภูเก็ต และ พังงา นอกจากนี้ยังมีปลูกอาคารสูงตามชายทะเลเพื่อล่อให้นกแอ่นกินรังเข้ามาทำรังวางไข่ในหลายบริเวณ โดยเฉพาะในเขต อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนเกิดคดีฟ้องร้องกับผู้ที่ได้รับสัมปทานในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงว่าเป็นการละเมิดสัมปทานหลายรายแล้ว เรื่องนี้นับว่ายากต่อการตัดสินเพราะพิสูจน์ความจริงได้ไม่ง่ายเลย

บทความนี้เป็นของ ดร.จารุจินต์ นภีตะภัฏ นำมาเสนอเป็นความรู้แก่ผู้สนใจโดย เทพชัย อริยะพันธุ์

No comments:

แนะนำแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดยะลา

แนะนำแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดยะลา
ยะลา หรือ ยะลอ แปลว่า "แห" เดิมเป็นหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองตอนใต้ ขึ้นอยู่กับมณฑลปัตตานี ต่อมาได้ประกาศเป็นจังหวัด ตามระเบียบบริหารการปกครองใหม่เมื่อปี 2476 ปัจจุบันจังหวัดยะลามีพื้นที่ 4,521.077 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 8 อำเภอ 58 ตำบล 376 หมู่บ้าน มีอำเภอเมือง อำเภอรามัน อำเภอยะหา อำเภอบันนังสตา อำเภอเบตง อำเภอธารโต อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลาตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศไทย ดั่งคำขวัญที่ว่า "ยะลา : ใต้สุดสยามเมืองงามชายแดน" อยู่ห่างจากกรุงเทพฯโดยทางรถไฟประมาณ 1,039 กิโลเมตร หรือโดยทางรถยนต์ตามถนนเพชรเกษมประมาณ 1,440 กิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีผังเมืองสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศไทย

หลักเมืองยะลา

หลักเมืองยะลา
หลักเมืองยะลาสร้างขึ้นจากแนวความคิดของ พ.ต.อ.ศิริ คชหิรัญ ครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาร่วมกับบรรดาข้าราชการซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าเดิมจังหวัดยะลาเป็นอาณาเขตหนึ่งในบริเวณ 7 หัวเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปัตตานี เพิ่งแยกออกเป็นเมืองหนึ่งต่างหากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2335) ที่ตั้งตัวเมืองยะลาเดิมมิได้อยู่ในที่ปัจจุบัน แต่ได้โยกย้ายมาแล้วถึง 4 ครั้งด้วยกัน ด้วยเหตุดังกล่าวท่านจึงให้ข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดยะลาได้พร้อมใจกันสร้างหลักเมืองขึ้นที่บริเวณศูนย์วงเวียนหน้าศาลากลางจังหวัดโดยมีพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 เวลา 10.30 น. ปัจจุบันหลักเมืองยะลาเป็นศูนย์กลางของเมืองยะลา ทั้งนี้เนื่องจากผังเมืองยะลาได้ออกแบบไว้เหมาะเจาะกันพอดีรอบๆวงเวียนหลักเมือง อันเป็นวงเวียนชั้นในสุดเป็นที่ทำการของส่วนราชการต่างๆ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัด ศาลจังหวัด กองกำกับการตำรวจภูธร สำนักงานที่ดิน สำนักงานเกษตร สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และที่ว่าการอำเภอเมืองยะลา บรรดาถนนทุกสายที่มาจากอำเภอต่างๆของจังหวัดจะมารวมกันที่หลักเมือง

วัดคูหาภิมุข

วัดคูหาภิมุข
ถ้ำคูหาภิมุขตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมือง ไปตามเส้นทางยะลา-หาดใหญ่ ประมาณ 7 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าวัดอีก 1 กิโลเมตร เป็นที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่สำคัญคือ พระพุทธไสยาสน์ สร้างสมัยศรีวิชัยประมาณ 1,300 ปีเศษ ภายในมีถ้ำต่างๆเช่น ถ้ำมืด ถ้ำ ภปร. มีหินงอกหินย้อย และหยดน้ำไหลรินจากโขดหินสวยงามยิ่งนัก หยดเกร็ดเพชรระยิบระยับตา ซึ่งในปี 2539 ถ้ำคูหาภิมุขได้รับรางวัลการประกวดแหล่งท่องเที่ยวประเภทธรรมชาติของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะ
พระมหากัจจายนะ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2505 ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเมืองยะลา อยู่กลางแจ้งภายในวัด องค์ใหญ่สวยงาม หากหมั่นทำความดีเมื่อมาขอพรจากท่านมักจะประสบความสำเร็จ อยู่ห่างจากศาลากลางไปทางถนนสุขยางค์ทางออกมุ่งสู่อำเภอเบตงประมาณ 1 กิโลเมตร อยู่ด้านขวามือตรงข้ามกับโรงเรียนตำรวจภูธร 9 (กองบัญชาการส่วนหน้า)

วัดพุทธาธิวาส

วัดพุทธาธิวาส
พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ ตั้งอยู่ ณ วัดพุทธาธิวาส ถนนรัตนกิจ ในตัวเมืองเบตง โดยตัวเจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขามีขนาดความกว้าง 39 เมตร สูง 39.9 เมตร หรือขนาดความสูงเทียบเท่าตึก 13 ชั้น เป็นมหาธาตุเจดีย์ที่สวยงามและขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เป็นศิลปกรรมแบบศรีวิชัยประยุกต์ มหาเจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นจากความคิดและการดำเนินการของอดีตประธานศาลฏีกา นายสวัสดิ์ โชติพานิช เพื่อเฉลิมฉลองและถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา

เขื่อนบางลาง

เขื่อนบางลาง
เขื่อนบางลางในระหว่างการเดินทางด้วยรถยนต์จากตัวเมืองยะลาสู่อำเภอเบตง บนเส้นทางหลวงสายยะลา-เบตง สามารถแวะชมทัศนียภาพอันสวยงามของเขื่อนบางลางได้ที่บ้านบางลาง ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา ซึ่งห่างจากตัวเมืองยะลา 58 กิโลเมตร และเข้าไปในตัวเขื่อนอีกประมาณ 12.5 กิโลเมตร ตัวเขื่อนบางลางสร้างปิดกั้นแม่น้ำปัตตานี ซึ่งมีต้นน้ำอยู่ที่ทิวเขาสันกาลาคีรี สันปันน้ำระหว่างไทยกับมาเลเซียในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ด้วยฝีไม้ลายมือมนุษย์ทำให้พื้นที่บริเวณเหนือเขื่อน กลายสภาพเป็นทะเลสาปน้ำจืดกลางหุบเขาขนาดใหญ่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยความเขียวขจีจากพันธุ์พืชพันธุ์ไม้นานาชนิดและภูเขาน้อยใหญ่ที่ทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนโอบล้อมอยู่ ทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ มีอาคารบ้านพักตากอากาศ ห้องจัดประชุม ร้านอาหาร สนามเทนนิส สนามเปตอง สนามกอล์ฟ สนามฟุตบอล แพล่องชมทัศนียภาพ ไว้บริการให้ความสะดวกแก่ผู้มาเยือน จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง นอกจากจะเหมาะต่อการท่องเที่ยวแล้วเขื่อนบางลางยังคงคุณสมบัติของเขื่อนเอนกประสงค์ตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งแรกในภาคใต้ไว้ได้เช่นเดิมคือ ช่วยในการป้องกันอุทกภัย การชลประทาน การผลิตกระแสไฟฟ้าและการประมง (สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม,ติดต่อบ้านพักโทรฯ 0-7329-9237-8, 0-7329-7099 ล่องเรือหรือแพชมทิวทัศน์ทะเลสาปเหนือเขื่อน โทรฯ 0-7328-1063-66 ต่อ 2291)

วิถีชีวิตของชาวบ้านรอบๆเมืองยะลา

วิถีชีวิตของชาวบ้านรอบๆเมืองยะลา
ยะลาเป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีธรรมชาติที่สวยงามอุดมสมบูรณ์ ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดำเนินตามรอยพระบาทชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียง มีอาหารการกินที่หลากหลายทั้ง ไทย จีน มุสลิม ผู้คนรักใคร่กลมเกลียว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดเป็นเพียงภาพลวงตา อีกไม่นานก็จะหายไป เพราะเขาเองก็เบื่อเต็มทนแล้วเพราะตั้งแต่วันแรกที่หลงผิดชีวิตยังหาความสุขไม่ได้ จะขอกลับมาเป็นคนดีของสังคมเร็วๆนี้

อานิสงส์และบุญกุศลใดๆ

อานิสงส์ใดๆที่เกิดขึ้นจากการได้มีโอกาสเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ข่าวสารและวิชาการเกี่ยวกับการเลี้ยงและทำบ้านนกแอ่น ขอมอบแด่ คุณพ่อสุนันท์-คุณแม่อำนวย อริยะพันธุ์ พี่กัญญา ศรีสวัสดิ์และครอบครัว พี่ดวงพร เพชรโชติและครอบครัว น้องนิชา สุตะเมืองและครอบครัว คุณอ้อย(ภรรยา) น้องหนึ่ง(ลูกชาย) น้องฟรังก์(ลูกสาว) น้องดิว(ลูกสะใภ้) น้องพีร์(หลานชาย) ตลอดจนคณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาความรู้ให้แก่ศิษย์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขอบุญกุศลแห่งวิทยาทานทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้กระทำจงมีแด่ทุกท่านที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักและเกี่ยวข้อง ให้ประสพแต่ความสุข ความเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฎิภานธนสารสมบัติทุกประการเทอญ เทพชัย อริยะพันธุ์