ภาคขยายสัญญาณ
เป็นภาคที่รับสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง จากภาคสัญญาณเข้า แล้วนำมาปรับแต่งและขยายสัญญาณให้มีความแรงขึ้นเพื่อเตรียมส่งต่อไปยัง ภาคสัญญาณออก ภาคขยายแบ่งออกเป็น 2 วงจร คือ
1. วงจรก่อนการขยาย (Pre Amplifier) เนื่องจากสัญญาณที่ถูกส่งเข้ามาจากภาคสัญญาณเข้ามีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง เช่น ไมโครโฟน เครื่องบันทึกเสียง เครื่องเล่นคอมแพกดิสก์ เป็นต้น ดังนั้นภาคก่อนการขยายจะช่วยในการปรับแต่งเสียงให้มีสัญญาณมากน้อยพอๆกัน ก่อนจะส่งไปวงจรกำลังขยาย
2. วงจรกำลังขยาย (Power Amplifier) ทำหน้าที่รับสัญญาณจากวงจรก่อนขยาย (Pre Amplifier) เข้ามาเพื่อทำการขยายให้มีกำลังแรงเพิ่มขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ในขั้นตอนนี้ ก็ได้แก่ เครื่องขยายเสียง (Amplifier) นั่นเองเครื่องขยายเสียง นิยมแบ่งชนิดตามกำลังของการขยายเสียง คือ การแบ่งตามความดังของภาคขยาย เช่น เครื่องขยายเสียงที่นิยมใช้กัน มีกำลังตั้งแต่ 10 วัตต์ ไปจนถึงหลายร้อยวัตต์เลยทีเดียว กำลังวัตต์ของเครื่องขยายเสียงจะบอกถึงความดังที่ออกทางลำโพง กล่าวคือ เครื่องขยายเสียงที่มีกำลัง 200 วัตต์ จะดังกว่าเครื่องขยายเสียงที่มีกำลัง 150 วัตต์นั่นเอง
ส่วนประกอบด้านหลังของเครื่องขยายเสียง ได้แก่
1. ช่องรับสัญญาณเข้า ใช้เสียบ Jack ต่อสัญญาณที่มาจากภาคสัญญาณเข้า เช่น ไมโครโฟน เครื่องเล่นแผ่นเสียง หรือ เครื่องเล่น CD/DVD ในปัจจุบัน เป็นต้น
2. จุดสำหรับต่อสัญญาณออก ใช้ต่อสายเพื่อส่งกำลังไฟฟ้าความถี่เสียงไปยังภาคสัญญาณออก อันได้แก่ ลำโพง นั่นเอง
3. สายไฟฟ้าเข้าเครื่อง เป็นสายต่อเพื่อใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ซึ่งในประเทศไทยใช้ไฟฟ้า 220 Volts ส่วนประกอบด้านหน้าของเครื่องขยายเสียง ได้แก่
1. ปุ่มควบคุม (Control Knobs) Mic.1 Mic.2 Mic.3 เป็นปุ่มควบคุมการรับสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียงจากไมโครโฟนแต่ละตัว เพื่อทำการปรับความดังของไมโครโฟนแต่ละตัวแยกอิสระจากกัน
2. ปุ่มควบคุม (Phono) เป็นปุ่มควบคุมสัญญาณที่มาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง (Phonograph)
3. ปุ่มควบคุม (Aux.) เป็นปุ่มควบคุมสัญญาณที่มาจาก Auxiliary เช่น เครื่องบันทึกเสียงที่มีการขยายสัญญาณกำลังต่ำมาก่อนแล้ว หรืออาจใช้ควบคุมอุปกรณ์รับสัญญาณเข้าอื่นๆ ที่ไม่มีปุ่มควบคุมอยู่ด้านหน้าด้วย
4. ปุ่มควบคุมการปรับแต่งเสียงทุ้ม (Bass) และเสียงแหลม (Treble) หรือปุ่ม Tone Control ใช้เพื่อปรับเสียงทุ้มแหลมของเสียงให้มากขึ้น ในเครื่องขยายเสียงบางรุ่นอาจรวมปุ่มปรับแต่ทุ้มแหลมนี้ไว้ในปุ่มเดียวกันก็เป็นได้
5. ปุ่มควบคุมการขยายกำลัง (Master Volume) ทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณให้มีเสียงดังเบา ก่อนจะออกทางลำโพง ซึ่งปุ่มนี้จะทำหน้าที่ร่วมกับปุ่มอื่นๆ ทุกปุ่มข้างต้นด้วย ดังนั้นการที่ปรับปุ่ม Master Volume ดังเบา ก็จะทำให้เสียงที่ออกทางลำโพงดังเบาตามปุ่มนี้เป็นสำคัญ
6. สวิตช์ไฟฟ้า (switch) ใช้เปิด (On) เมื่อต้องการเริ่มใช้งาน และใช้ปิด (Off) เมื่อเลิกใช้งาน
7. หลอดไฟฟ้าหน้าปัด (Pilot Lamp) หลอดไฟฟ้าแสดงให้ทราบว่ามีไฟฟ้าเข้าเครื่องขยายเสียงหรือไม่ ลักษณะของเครื่องขยายเสียงที่ดี
--มีช่องรับสัญญาณเข้าหลายวงจรและหลายช่อง เพื่อสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสม
--มีกำลังขยายสูง โดยที่ไม่มีเสียงเพี้ยน (Distortion) และเสียงฮัม (Hum)
--สามารถขยายเสียงได้ทุกช่วงความถี่ของเสียง ตั้งแต่ 20 - 20,000 ไซเคิลอย่างสม่ำเสมอ
--ให้ความไพเราะ ชัดเจน (high Fidelity)
--สามารถปรับเสียงทุ้มและเสียงแหลมได้มาก
--สามารถเคลื่อนย้ายสะดวก
--สามารถต่อเข้ากับเครื่องมืออื่นๆ ที่นิยมใช้กันทั่วไปได้สะดวก
--บำรุงรักษาและซ่อมแซมง่าย
--มีความทนทานและปลอดภัยในการใช้
--มีจุดสำหรับสัญญาณออกที่จะเลื่อนให้เหมาะกับความต้านทานของลำโพงหลายชุด
ภาคสัญญาณเข้า (Input)
อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียง ให้เป็นคลื่นไฟฟ้าความถี่เสียง อุปกรณ์ที่เห็นได้ชัด ได้แก่ ไมโครโฟน เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่น CD/DVD เครื่องเล่นที่สามารถอ่าน Memory Card ชนิดต่างๆ เช่น Thumb Drive, SD Card, อุปกรณ์ตัวนี้จะเป็นตัวทำหน้าที่อ่านคลื่นเสียงและเปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียง ไหลไปตามสายสู่เครื่องขยายเสียง
ภาคสัญญาณออก (Output)
ภาคสัญญาณออก เป็นภาคที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าความถี่เสียง เป็นพลังงานเสียง ซึ่งได้แก่ ลำโพง ลำโพงมีการแบ่งประเภทได้หลายลักษณะ บทความเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับลำโพงได้นำเสนอไปแล้วในบทความก่อนนี้
การต่อลำโพงเข้ากับเครื่องขยายเสียง
เครื่องขยายเสียงจะมีจุดต่อสัญญาณออกอยู่ด้านหลังของเครื่องฯ อาจมีหลายลักษณะ แต่ลักษณะหนึ่งที่นิยมใช้จะเป็นลักษณะที่มีจำนวนโอห์มมาให้เลือกต่อ เพื่อความเหมาะสมระหว่างตัวลำโพงกับเครื่องขยายเสียง การต่อลำโพงอาจแบ่งเป็น 2 วิธี คือ การต่อลำโพงตัวเดียว และการต่อลำโพงหลายตัว
การต่อลำโพงตัวเดียว
การต่อลำโพงตัวเดียวเป็นการต่อตรง เช่น ลำโพงมีค่าความต้านทาน 8 โอห์ม ก็ให้ต่อสายเส้นหนึ่งของลำโพงเข้ากับ 0 โอห์ม อีกเส้นต่อที่ 8 โอห์ม
การต่อลำโพงหลายตัว
การต่อลำโพงหลายตัวกับเครื่องขยายเสียงอาจกระทำได้ 3 วิธี คือ การต่อแบบอนุกรม การต่อแบบขนาน และการต่อแบบผสม ซึ่งการต่อแต่ละแบบมีความจำเป็นต้องรู้จักคิดคำนวณค่าความต้านทานกับพลังงานไฟฟ้าความถี่เสียงที่ออกมาจากเครื่องขยายเสียง
การต่อแบบอนุกรม
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่หากมีลำโพงตัวหนึ่ง ตัวใด ชำรุด จะทำให้ลำโพงทุกตัวเงียบหมด เนื่องจากการตัดตัวเชื่อมต่อของวงอนุกรมนั่นเอง
การต่อแบบขนาน
เป็นวิธีการต่อที่นิยมมาก เนื่องจากหากลำโพงตัวใดตัวหนึ่งชำรุด ตัวที่เหลือยังคงใช้งานได้ตามปกติ
การต่อแบบผสม
เป็นการใช้การต่อลำโพงแบบอนุกรมและแบบขนานร่วมกัน
เรื่องเครื่องขยายเสียงยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่นำมาเสนอเพื่อให้ท่านได้มีข้อมูล ได้เข้าใจพื้นฐานของเรื่องเครื่องขยายเสียง เวลาไปเลือกซื้อจะได้จะได้มีข้อมูลอยู่บ้าง ราคาที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ราคาที่เหมาะสม คุณภาพดี ทนทาน มีหลายยี่ห้อ ราคาเครื่องละตั้งแต่ประมาณ 2,500 - 6,500 บาท แพงกว่านี้ไม่ต้องซื้อ ใครบอกว่าของเขาดีอย่างไรไม่ต้องเชื่อ ชุดละ 60,000 - 80,000 บาท อย่าซื้อเด็ดขาด แพงเกินไปกำไรเกินควร
นำเสนอโดย เทพชัย อริยะพันธุ์
ยินดีต้อนรับสู่ Swiftlet Lover Blog. เป็น blog/website สำหรับผู้สนใจการเลี้ยงและการทำบ้านนกแอ่น เป็นศูนย์กลางของข้อมูล ข่าวสาร และ วิชาการ เพื่อผู้สนใจชาวไทยโดยเฉพาะ นำเสนอ โดย อภิชาต อริยะพันธุ์(เทพชัย อริยะพันธุ์ อดีตผู้ก่อตั้ง) จังหวัดยะลา
Monday, July 7, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
แนะนำแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดยะลา
หลักเมืองยะลา
วัดคูหาภิมุข
พระมหากัจจายนะ
วัดพุทธาธิวาส
เขื่อนบางลาง
วิถีชีวิตของชาวบ้านรอบๆเมืองยะลา
อานิสงส์และบุญกุศลใดๆ
อานิสงส์ใดๆที่เกิดขึ้นจากการได้มีโอกาสเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ข่าวสารและวิชาการเกี่ยวกับการเลี้ยงและทำบ้านนกแอ่น ขอมอบแด่ คุณพ่อสุนันท์-คุณแม่อำนวย อริยะพันธุ์ พี่กัญญา ศรีสวัสดิ์และครอบครัว พี่ดวงพร เพชรโชติและครอบครัว น้องนิชา สุตะเมืองและครอบครัว คุณอ้อย(ภรรยา) น้องหนึ่ง(ลูกชาย) น้องฟรังก์(ลูกสาว) น้องดิว(ลูกสะใภ้) น้องพีร์(หลานชาย) ตลอดจนคณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาความรู้ให้แก่ศิษย์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขอบุญกุศลแห่งวิทยาทานทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้กระทำจงมีแด่ทุกท่านที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักและเกี่ยวข้อง ให้ประสพแต่ความสุข ความเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฎิภานธนสารสมบัติทุกประการเทอญ เทพชัย อริยะพันธุ์
No comments:
Post a Comment